ในการออกแบบระบบเครือข่ายสำหรับองค์กร (Enterprise Network) สถาปัตยกรรมเครือข่ายเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เครือข่ายมีความยืดหยุ่น มีประสิทธิภาพ และสามารถขยายได้ง่าย โดยมี 2 แนวทางหลักที่นิยมใช้คือ Two-tier Design และ Three-tier Design ซึ่งแต่ละแบบมีข้อดีที่แตกต่างกัน
Two-tier Design
Two-tier Design หรือเรียกว่า Collapsed Core Design เป็นรูปแบบการออกแบบที่รวม Core Layer และ Distribution Layer เข้าด้วยกัน ทำให้เครือข่ายมี 2 Layer ได้แก่:
- Access Layer: ทำหน้าที่เชื่อมต่ออุปกรณ์ปลายทาง เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์, เซิร์ฟเวอร์ และอุปกรณ์ไร้สาย (AP)
- Core + Distribution Layer: ทำหน้าที่รวมทราฟฟิกจาก Access Layer และเชื่อมต่อเครือข่ายเข้าด้วยกัน รวมถึงควบคุมเส้นทางการรับส่งข้อมูล
จุดเด่นของ Two-tier Design
- ประหยัดต้นทุน: ลดจำนวนอุปกรณ์เครือข่ายและการเชื่อมต่อ
- ติดตั้งและบริหารจัดการง่าย: โครงสร้างที่ไม่ซับซ้อน เหมาะกับองค์กรขนาดเล็กถึงขนาดกลาง
- ความเร็วในการส่งข้อมูลสูง: ลดความหน่วงของข้อมูล เนื่องจากมีจำนวน Layer น้อยลง
Three-tier Design
Three-tier Design เป็นสถาปัตยกรรมเครือข่ายแบบดั้งเดิมที่แบ่งการทำงานออกเป็น 3 Layer ได้แก่:
- Access Layer: เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ปลายทาง เช่น PC, เซิร์ฟเวอร์ หรืออุปกรณ์ IoT ต่าง ๆ
- Distribution Layer: ทำหน้าที่รวมทราฟฟิกจาก Access Layer, ควบคุมเส้นทางการเชื่อมต่อ, จัดการนโยบายการรับส่งข้อมูล เช่น QoS (Quality of Service)
- Core Layer: เป็นเส้นทางหลักที่เชื่อมต่อทราฟฟิกจาก Distribution Layer ต่าง ๆ และมุ่งเน้นการส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูง
จุดเด่นของ Three-tier Design
- รองรับการขยายเครือข่าย: เหมาะกับองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการขยายระบบเครือข่ายในอนาคต
- การจัดการทราฟฟิกที่มีประสิทธิภาพ: แบ่ง Layer อย่างชัดเจน ลดการหนาแน่นของข้อมูล
- ความเสถียรและปลอดภัยสูง: สามารถแยกนโยบายการควบคุมและความปลอดภัยตาม Layer ต่าง ๆ ได้
เลือกอย่างไร
การเลือกใช้สถาปัตยกรรมแบบใดขึ้นอยู่กับความต้องการขององค์กร งบประมาณ และขนาดของระบบเครือข่ายปัจจุบันและอนาคต เพื่อให้มั่นใจว่าเครือข่ายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด.
อ้างอิง
https://www.cisco.com/