Two-tier Design vs Three-tier Design

ในการออกแบบระบบเครือข่ายสำหรับองค์กร (Enterprise Network) สถาปัตยกรรมเครือข่ายเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เครือข่ายมีความยืดหยุ่น มีประสิทธิภาพ และสามารถขยายได้ง่าย โดยมี 2 แนวทางหลักที่นิยมใช้คือ Two-tier Design และ Three-tier Design ซึ่งแต่ละแบบมีข้อดีที่แตกต่างกัน

Two-tier Design

Two-tier Design หรือเรียกว่า Collapsed Core Design เป็นรูปแบบการออกแบบที่รวม Core Layer และ Distribution Layer เข้าด้วยกัน ทำให้เครือข่ายมี 2 Layer ได้แก่:

  1. Access Layer: ทำหน้าที่เชื่อมต่ออุปกรณ์ปลายทาง เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์, เซิร์ฟเวอร์ และอุปกรณ์ไร้สาย (AP)
  2. Core + Distribution Layer: ทำหน้าที่รวมทราฟฟิกจาก Access Layer และเชื่อมต่อเครือข่ายเข้าด้วยกัน รวมถึงควบคุมเส้นทางการรับส่งข้อมูล

จุดเด่นของ Two-tier Design

  • ประหยัดต้นทุน: ลดจำนวนอุปกรณ์เครือข่ายและการเชื่อมต่อ
  • ติดตั้งและบริหารจัดการง่าย: โครงสร้างที่ไม่ซับซ้อน เหมาะกับองค์กรขนาดเล็กถึงขนาดกลาง
  • ความเร็วในการส่งข้อมูลสูง: ลดความหน่วงของข้อมูล เนื่องจากมีจำนวน Layer น้อยลง

Three-tier Design

Three-tier Design เป็นสถาปัตยกรรมเครือข่ายแบบดั้งเดิมที่แบ่งการทำงานออกเป็น 3 Layer ได้แก่:

  1. Access Layer: เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ปลายทาง เช่น PC, เซิร์ฟเวอร์ หรืออุปกรณ์ IoT ต่าง ๆ
  2. Distribution Layer: ทำหน้าที่รวมทราฟฟิกจาก Access Layer, ควบคุมเส้นทางการเชื่อมต่อ, จัดการนโยบายการรับส่งข้อมูล เช่น QoS (Quality of Service)
  3. Core Layer: เป็นเส้นทางหลักที่เชื่อมต่อทราฟฟิกจาก Distribution Layer ต่าง ๆ และมุ่งเน้นการส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูง

จุดเด่นของ Three-tier Design

  • รองรับการขยายเครือข่าย: เหมาะกับองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการขยายระบบเครือข่ายในอนาคต
  • การจัดการทราฟฟิกที่มีประสิทธิภาพ: แบ่ง Layer อย่างชัดเจน ลดการหนาแน่นของข้อมูล
  • ความเสถียรและปลอดภัยสูง: สามารถแยกนโยบายการควบคุมและความปลอดภัยตาม Layer ต่าง ๆ ได้

    เลือกอย่างไร

    การเลือกใช้สถาปัตยกรรมแบบใดขึ้นอยู่กับความต้องการขององค์กร งบประมาณ และขนาดของระบบเครือข่ายปัจจุบันและอนาคต เพื่อให้มั่นใจว่าเครือข่ายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด.

    อ้างอิง
    https://www.cisco.com/